มารูล่า ออยล์ vs.อาร์แกน ออยล์ น้ำมันชนิดไหนดีสำหรับผิวของคุณ?

ในช่วงที่ผ่านมาคุณคงเคยได้ยินสรรพคุณด้านความงามของ Argan Oil กันมาเยอะแล้ว และช่วงนี้ก็มีน้ำมันอีกตัว ที่กำลังจะมาแรง นั่นก้คือ Marula Oil นั่นเอง ในวงการที่เกี่ยวข้องกับความงามกำลังพูดถึงน้ำมันสองตัวนี้เป็นอย่างมาก แต่น้ำมันชนิดไหนจะดีกว่ากันแน่ บทความนี้จะให้ข้อมูลเปรียบเทียบเพื่อการตัดสินใจของคุณ
✓ ความคล้ายคลึงกันของมารูล่า ออยล์ กับ อาร์แกน ออยล์
✓ ความต่าง ของมารูล่า ออยล์ กับ อาร์แกน ออยล์
✓ สรุปจุดเด่นระหว่างอาร์แกน และ มารูล่า
✓ นำมันบำรุงผิวชนิดใดที่เหมาะกับสภาพผิวคุณ
ความคล้ายคลึง ของมารูล่า ออยล์ กับ อาร์แกน ออยล์
ทั้ง Argan Oil และ Marula Oil สกัดจากเมล็ดผลไม้ เมล็ดเหล่านี้ถูกเก็บเกี่ยวด้วยมือโดยผู้หญิงท้องถิ่นทั้งคู่
Marula มาจากแอฟริกาใต้ ส่วน Argan มาจากโมร็อกโก "น้ำมันมหัศจรรย์" เหล่านี้ไม่เพียง แต่เป็นเครื่องสำอางที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นน้ำมันบำรุงผิวพรรณชั้นเลิศเท่านั้น น้ำมันแต่ละชนิดมีประวัติศาสตร์อันยาวนานกับผู้คนในท้องถิ่น ทั้งในด้านอาหารและด้านความงาม
สิ่งที่ Argan Oil และ Marula Oil มีเหมือนกัน คือ:
• มีประสิทธิภาพในการต่อต้านริ้วรอยที่แห่งวัย
• มีกรดไขมันจำเป็นต่างๆ มากมายที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ
• มีวิตามินอีธรรมชาติ
• มีคุณสมบัติช่วยสมานและซ่อมแซมผิว
• มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ต่อสู้กับอาการของริ้วรอย
• มีอายุการเก็บรักษาที่ยาวนานและทนต่อการเกิดออกซิเดชัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้สารกันบูด
• มีโพลีฟีนอล และ สเตอรอยด์ธรรมชาติจากพืช

ความแตกต่าง ของมารูล่า ออยล์ กับ อาร์แกน ออยล์
คราวนี้เราจะมาดูสารประกอบเด่นๆ เปรียบเทียบกันสำหรับน้ำมันทั้ง 2 ตัว
1. กรดไขมันจำเป็นต่างๆ ที่มีในน้ำมันทั้ง 2 ชนิด
ทั้ง Marula Oil และ Argan Oil ล้วนมีกรดไขมันจำเป็นที่มุ่งเน้นในเรื่องการดูแลผิวพรรณ ทั้งกรดโอเลอิคและกรดไลโนเลอิก แต่มีในสัดส่วนที่ต่างกัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกน้ำมันที่เหมาะกับผิวคุณ
กรด OLEIC (MONO-UNSATURATED OMEGA 9) มีคุณสมบัติเด่น ดังนี้
• มีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดด
• สามารถซึมซาบลงลึกเข้าสู่ผิวได้เป็นอย่างดี ช่วยนำพาความชุ่มชื่นเข้าสู่ผิว
• มีส่วนช่วยในการสมาน รักษาบาดแผล
• มีส่วนช่วยลดการอักเสบและซ่อมแซมผิว
• กรดไขมันชนิดนี้ เป็นชนิดเดียวกับ ที่มีในผิวของเราเอง
• มีเนื้อเข้มข้นและหนักกว่า ซึ่งช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นของผิว
• เป็นกรดไขมันที่เหมาะสำหรับผิวแห้ง
กรดไลโนเลอิก (POLY-UNSATURATED OMEGA 6) คุณสมบัติเด่น ดังนี้
• มีฤทธืในการต้านการอักเสบของผิว
• ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิว
• มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูและสร้างเซลล์ ช่วยสมานผิว
• เป็นกรดไขมันที่ร่างกายของเราไม่สามารถผลิตได้เอง
• มีเนื้อที่เบาและซึมซาบสู่ผิวได้ง่าย ช่วยบำรุงและปกป้องผิวโดยไม่หนักเกินไป
• เหมาะสำหรับผิวที่มีน้ำมันมาก เช่นผิวผสม และผิวมัน ซึ่งอาจจะไม่ชุ่มชื้นเพียงพอสำหรับผิวที่แห้งมาก
Argan Oil มี กรดโอเลอิค (44-55%) และ กรดไลโนเลอิก (28-36%)
Marula Oil มีกรดโอเลอิคสูงมากถึง (70-78%) และมี กรดไลโนเลอิก (4-9%)
2. TOCOPHEROLS (วิตามินอี)
วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีศักยภาพช่วยป้องกันความเสียหายจากอนุมูลอิสระที่เกิดจากการสัมผัสกับรังสียูวี วิตามินอีช่วยเพิ่มการผลิตคอลลาเจนช่วยรักษาความยืดหยุ่นของผิวและป้องกันการเกิดริ้วรอย
Argan Oil มีวิตามินอี 60 - 90 มก. / 100 กรัม
Marula Oil มีวิตามินอี 13.7 มก. / 100 กรัม
3. PHYTOSTEROLS
Phytosterols เป็นสารประกอบคล้าย lipid ทีกระตุ้นการขับสารพิษทางรูขุมขนและเสริมสร้างความแข็งแรงของเกราะคุ้มครองผิว เพื่อปกป้องผิวจากมลภาวะ และช่วยปกป้องผิว ให้ผิวนุ่มในขณะที่ลดการอักเสบและชะลอริ้วรอยแห่งวัย Phytosterols ช่วยเพิ่มการผลิตคอลลาเจนและช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื่นไว้ ได้เป็นอย่างดี
Argan Oil มีปริมาณ PHYTOSTEROLS 130 - 230 mg / 100 กรัม
(ส่วนใหญ่เป็น Schottenol Schottenol ช่วยกระตุ้นการสร้างสมดุลฟื้นฟูและรักษาผิวผมและเล็บ)
Marula Oil มีปริมาณ PHYTOSTEROLS สูงถึง l, 287 มก. / 100 กรัม
(โดยมี β-sitosterol สูงที่สุด (60%) และ Avenasterol (16%) ซึงมีประสิทธิภาพการต้านอนุมูลอิสระ)
4. CARATENOIDS
Carotenoids เป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงช่วย และช่วยต่อสู้กับความชรา ผิวของเราสามารถดูดซึม Carotenoids เพื่อช่วยในการปกป้องผิวจากแสงแดด และมลภาวะจากสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ผิวเสีย
Argan Oil มี Carotenoids
Marula Oil ไม่มี Carotenoids
5. VITAMIN C
วิตามินซี วิตามินซีเป็นสารกันเสียที่เป็นอนุมูลอิสระ ทำให้เกิดการผลิตคอลลาเจนและลดการสร้างเม็ดสีมากเกินไป
Argan Oil ไม่มีวิตามินซี
Marula Oil มีวิตามินซี
สรุปจุดเด่นของน้ำมัน Argan Oil
เหมาะที่สุดสำหรับคนที่มีผิวธรรมดา –ผิวมัน

Argan Oil เป็นน้ำมันที่ดูดซึมได้ง่าย ช่วยลดริ้วรอย ความไม่สมบูรณ์ของผิว ช่วยฟื้นฟู คืนความยืดหยุ่น และต่ต้านผิวอักเสบ เนื่องจากมันมีน้ำหนักเบาจึงเป็นน้ำมันที่ใช้ประโยชน์ได้หลากหลายสำหรับผิวหน้า และผู้ที่เคยใช้ Argan Oil หลายๆ คนบอกว่ามันช่วยลดสิวได้ มีอายุการเก็บรักษา 2 ปี
• อุดมด้วยโปรตีนช่วยลดความหมองคล้ำและเพิ่มความยืดหยุ่น
• ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีได้เป็นอย่างดี
• มีส่วนช่วยในการสร้างเซลล์ผิว
• ยับยั้งริ้วรอยก่อนวัย
• ช่วยให้ผิวของเราคงความชุ่มชื่น
• ไม่มัน และซึมเข้าสู่ผิวได้ง่าย
• มีสารประกอบแคโรทีน, วิตามินอี, สควอเลน และฟีนอล ค่อนข้างสูง
• มีสารต้านอนุมูลอิสระ
• ลดการอักเสบของผิวหนัง
• สารฆ่าเชื้อโรคตามธรรมชาติ
• มีกลิ่นอ่อนๆ คล้ายถั่ว ตามธรรมชาติ
สารประกอบเด่นใน Argan Oil
SQUALANE สารจากธรรมชาติที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวได้ดีที่สุด เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายได้ในไขมัน ซึ่งปกติผิวของเราก็มี Squalane อยู่แล้ว 25% ทำให้ Argan Oil สามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวของเราได้ง่ายตามธรรมชาติ
POLYPHYNOLS ใน Argan Oil มีคุณสมบัติต่อต้านการอักเสบฆ่าเชื้อต่อต้านริ้วรอยและต้านอนุมูลอิสระ โพลีฟีนอลที่โดดเด่นที่สุดคือ Ferulic Acid ความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระจะเพิ่มขึ้นหลังจากได้รับรังสีอุลตราไวโอเล็ต ทำให้มีประสิทธิภาพในการต่อต้านผิวเสียที่เกิดจากรังสียูวี
D-7 STIGMASTEROL เป็น sterol จากพืชที่หายากและมีประสิทธิภาพที่ดีในการรักษาโรคผิวหนัง ต่างๆ การรักษาแผลและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลาย
สรุปจุดเด่นของน้ำมัน Marula Oil
เหมาะสำหรับผิวแห้ง, ผิวหมอง และ เน้นเรื่องการชะลออายุผิว

น้ำมัน Marula มีคุณสมบัติที่ดีสำหรับผิวแห้ง ผิวแตก และผิวที่โดนแดด ช่วยลดรอยแดงและลดรอยแผลเป็น ปกป้องผิวจากมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการทำงานของเซลล์ แลฟื้นฟูผิวจากการถูกแสงแดดทำร้าย และช่วยเติมน้ำเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวไดในระดับลึกที่สุด สามารถใช้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าบนผิวผมและเล็บ มีอายุการเก็บรักษา 2 - 3 ปี
• เนื่อน้ำมันจะหนักกว่า Argan Oil เล็กน้อย แต่สามารถซึมซาบเข้าผิวได้อย่างรวดเร็วและไม่เหนียวเหนอะหนะ
• โครงสร้างโมเลกุลที่ละเอียดดีช่วยให้สามารถเจาะลึกลงสู่ผิวเพื่อช่วยบำรุงและซ่อมแซมผิว
• มีวิตามินอีช่วยซ่อมแซมผิวที่บอบบาง
• มีค่า pH ที่สมดุลกับผิว
• มีคุณสมบัติต่อต้านจุลินทรีย์
• มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าน้ำมัน Argan 16%
• มีความเสถียรและทนต่อการเกิดออกซิเดชัน
• มี Sterol ธรรมชาติสูงช่วยลดรอยแผลเป็น
• มีกลิ่นอ่อนมากมาก ตามธรรมชาติ หรือแทบไม่มีกลิ่นเลย
สารประกอบเด่นใน Marula Oil
OLEIC ACID อุดมไปด้วยกรดโอเลอิค ในปริมาณที่สูงมาก (70-78%) จึงมีความพิเศษในการเก็บกักความชุ่มชื้นให้ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
β STEROL เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ช่วยลดริ้วรอย มีคุณสมบัติในการรักษาแผลคือมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและช่วยซ่อมแซมผิวที่เสื่อมสภาพ
VITAMIN C วิตามินซี Marula Oil ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว ช่วยเพิ่มการผลิตคอลลาเจน และทำให้ผิวกระชับขึ้น และยังช่วยลดรอยแผลเป็นและรอยคล้ำอีกด้วย
สรุปแล้ว Argan Oil หรือ Marula Oil ดี?
น้ำมันทั้งสองชนิดมีคุณสมบัติบำรุงผิวที่น่าอัศจรรย์ทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับประเภทของผิวคุณ สำหรับ ผิวมัน ผิวผสม หรือผิวที่มีโอกาสอุดตัน หรือเป็นสิวง่าย แนะนำ Argan Oil สำหรับผิวแห้ง ที่กังวลเรื่องริ้วรอยก่อนวัย แนะนำ Marula Oil ส่วนคนที่มีผิวปกติแนะนำว่าให้ใช้ ทั้งคู่สลับสลับกันไป เพราะน้ำมันทั้งสองตัวต่างมีสารประกอบที่ดีสำหรับผิว ที่คุณไม่ควรพลาด
สำหรับผู้ที่อ่านแล้วสนใจน้ำมันสกัด Marula Oil สามารถสั่งซื้อกับ NatureMix ได้แล้วนะคะ
ผลิตภัณท์ NatureMix Marula Oil นำเข้าโดยตรงจากบริษัทผู้ผลิตซึ่งมีใบรับรองในแอฟริกาใต้ คุณจึงมั่นใจได้ในคุณภาพแท้จากแหล่งผลิตโดยตรง
ต้นฉบับภาษาอังกฤษ : https://thebestorganicskincare.com/marula-oil-vs-argan-oil-which-is-better-for-your-skin
#เนเจอรมกซรวว #serum #nightcream #daycream #rejuvinate #อารแกนออยลรวว #อาย40 #แกเหยว #บำรงผวหนา #ผวตดสเตยรอยด #ดมนำ #สว #steroid #บำรงผว #สเตยรอยด #เซรม #arganoil #ปญหาหนามน #naturemix #ปญหาหนาแหง #naturemixshop #ลดรวรอย #naturemixreview #naturemixoil #เนเจอรมกซ #อารแกนออยล #แกหนามน #ผวแพงาย #water #antiaging #moisturizer #facialoil